เรามีเว็บรวมคาสิโนออนไลน์มากกว่า 66 ค่ายเอาไว้ให้ได้เล่นกัน

  • Welcome to รีวิวเว็บคาสิโนออนไลน์ ที่น่าเล่นในไทยมากกว่า 66 เว็บไซต์. Please log in or sign up.

ห้ามพลาด! เปิดสถิติสองทีมไหนจะเข้าชิงดำถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก?

เริ่มโดย บ้านผลบอลคืนนี้, เม.ย 28, 2022, 12:50 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

บ้านผลบอลคืนนี้



ในที่สุด ศึกลูกหนัง ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ก็ผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศกันแล้วโดยเป็นการยกทีมบู๊กันระหว่างสโมสรจาก พรีเมียร์ลีก และ ลา ลีกา

    พร้อมกันนี้ ทั้ง เรือใบสีฟ้า และ หงส์แดง จะลงเล่นในบ้านก่อนสำหรับเกมแรกในวันอังคาร และวันพุธนี้ตามลำดับซะด้วยจึงไม่แน่ว่า ราชันชุดขาว และ เรือดำน้ำสีเหลือง จะได้ประโยชน์มากกว่าสำหรับการเป็นเจ้าถิ่นในเกมชี้ชะตานัดสองหรือเปล่า

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เป็นเรื่องน่าสนใจที่ต้องมองไปที่สถิติการเผชิญหน้ากันของทั้งสี่ทีมซึ่งมีการตีแผ่ออกมาว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสทำแฮททริคได้ในการคุมทีมบู๊กับ เรอัล มาดริด

    หากแต่อดีตนายใหญ่ บาร์เซโลน่า จะทำได้สำเร็จหรือไม่ และจะมี เร้ด แมชีน เป็นคู่ต่อกรในนัดชิงดำหรือเปล่าเป็นเรื่องที่เราจะต้องรอลุ้นกันสถานเดียว

สำหรับซีซั่นก่อน ทีมเงินถังของ พรีเมียร์ลีก มีโอกาสประสบความสำเร็จในถ้วยใบนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็พ่ายให้กับ เชลซี ทีมร่วมลีกในนัดชิงชนะเลิศ



    และเป็น เรอัล มาดริด ที่เขี่ยแชมป์เก่าจากเมืองผู้ดีตกรอบแปดทีมนี่แหละที่จะเป็นคู่ต่อกรของ กวาร์ดิโอล่า ในรอบตัดเชือกโดยที่ เรือใบสีฟ้า จะต้องระวัง คาริม เบนเซม่า สตาร์ชาวเมืองน้ำหอมให้มากเป็นพิเศษเนื่องจากซีซั่นนี้ดาวยิงจอมเก๋าสำแดงเดชกระทุ้งประตูในศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ไปแล้ว 12 ลูกจาก 9 นัด

    ด้าน ลิเวอร์พูล จะพะบู๊กับทีมจากลีกกระทิงดุเช่นกันแม้จะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า บียาร์เรอัล จะผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศได้ก็ตาม

    หลังเขี่ยทั้ง ยูเวนตุส และ บาเยิร์น มิวนิค สองทีมยักษ์ตกรอบได้อย่างเหลือเชื่อ หงส์แดง ก็ไม่ควรประมาททีมของ อูไน เอเมรี่ แม้จะมีสถิติบ่งชี้ว่า เรือดำน้ำสีเหลือง มีผลงานไม่สู้ดีในยามบุกมาฟาดเกือกในเมืองผู้ดีก็ตาม

- แมนฯ ซิตี้ v เรอัล มาดริด



    ราชันชุดขาว มีสิทธิ์คิดฝันอย่างชอบธรรมว่าปีนี้อาจเป็นปีของพวกเขาอีกหนหลังจากเจ้าพ่อถ้วยหูใหญ่กำราบได้ทั้ง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ เชลซี ในรอบน็อคเอาท์

    อย่างไรก็ดี มีสถิติระบุว่า เรอัล มาดริด ประสบกับปัญหาเสมอในการบุกมาเยือน แมนฯ ซิตี้ เนื่องจากสามครั้งหลังในถ้วยยุโรป พวกเขาไม่เคยมีชัยในรังของ เรือใบสีฟ้า เลย (เสมอสอง แพ้หนึ่ง)

    และสำหรับสองครั้งหลังซึ่งทั้งสองทีมได้ดวลกันในรอบน็อคเอาท์ถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก เรอัล มาดริด ยกทัพมาเสมอกับ แมนฯ ซิตี้ 0-0 ในรอบตัดเชือกนัดแรกของซีซั่น 2015/16 และบุกมาปราชัย 2-1 ในรอบ 16 ทีมนัดสองของซีซั่น 2019/20

    ขณะเดียวกัน กวาร์ดิโอล่า ซึ่งกระหายพาเศรษฐี พรีเมียร์ลีก คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยแรกของสโมสรให้ได้ก็มีโอกาสทำแฮททริคชนะ เรอัล มาดริด เป็นคำรบสามหลังประสบความสำเร็จกับ บาร์เซโลน่า มาก่อน

    ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะกุนซือสกินเฮดเคยเขี่ย เรอัล มาดริด ตกรอบน็อคเอาท์ถ้วยใบนี้มาแล้วสองหนในรอบตัดเชือกซีซั่น 2020/11 ซึ่ง บาร์ซ่า กำชัยไปด้วยสกอร์รวม 3-1 และอีกหนกับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งเขาคุมทีมชนะด้วยสกอร์รวม 4-2 ในเกมรอบ 16 ทีมของซีซั่น 2019/20



     ถึงขณะนี้จึงเท่ากับว่า กวาร์ดิโอล่า จะเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่เขี่ย ราชันชุดขาว ออกจากฟุตบอลรายการนี้ได้เป็นหนที่สามทันทีหาก เรือใบสีฟ้า เป็นฝ่ายมีชัยได้ทะยานเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นปีที่สองติดต่อกัน

    สำหรับ เรอัล มาดริด มีผลงานฟ้องว่าบุกไปเยือนเมืองผู้ดีไม่สู้ดีเอาซะเลยเนื่องจากชัยชนะ 3-1 ที่มีต่อ เชลซี ในรอบแปดทีมนัดแรกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อไม่นานมานี้เป็นการบุกไปคว้าชัยหนแรกที่อังกฤษของพวกเขาจากหกครั้งหลังของรายการดังกล่าว

    พร้อมกันนี้ การเผชิญหน้ากันของกุนซือทั้งสองทีมก็เป็น กวาร์ดิโอล่า ที่เหนือกว่า คาร์โล อันเชล็อตติ จากการปะทะกันทั้งหมดหกครั้งซึ่งกุนซือสแปนิชมีชัยสี่ครั้ง และปราชัยสองครั้ง

    อย่างไรก็ดี สี่ครั้งที่ กวาร์ดิโอล่า ข่ม อันเชล็อตติ เป็นเกมที่ แมนฯซิตี้ เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ได้ไม่ใช่เกม แชมเปี้ยนส์ลีก

    ในทางกลับกัน กุนซืออิตาเลี่ยน กำราบ กวาร์ดิโอล่า ได้ทั้งสองครั้งของถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก โดย เรอัล มาดริด พิชิต บาเยิร์น มิวนิค ได้ทั้งสองเกมของรอบตัดเชือกซีซั่น 2013/14 ด้วยสกอร์รวมที่ขาดลอย 5-0

- ลิเวอร์พูล v บียาร์เรอัล



    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บียาร์เรอัล กลายเป็นทีมม้ามืดที่น่าจับตามองหลังเอาชนะสองทีมยักษ์ในรอบน็อคเอาท์ได้ทั้ง ม้าลาย และ เสือใต้

    แต่พวกเขาจะมี หงส์แดง เพิ่มเติมเป็นเหยื่อรายต่อไปหรือเปล่าก็ต้องรอพิสูจน์กัน

    แต่ที่แน่ๆ อย่างที่บอกเอาไว้ในตอนต้นว่า เรือดำน้ำสีเหลือง มีผลงานไม่ดีในเกมบุกมาเยือนเมืองผู้ดีเพราะนับตั้งแต่ชนะ เอฟเวอร์ตัน ได้ในเกมหูใหญ่รอบคัดเลือกรอบสามนัดสองด้วยสกอร์ 2-1 เมื่อเดือนส.ค.2005 พวกเขาก็ไม่เคยได้เฮในอังกฤษอีกเลยตลอดแปดครั้งหลังในทุกรายการ (เสมอสาม แพ้ห้า)

    และล่าสุดเป็นการแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ของรอบแบ่งกลุ่มซีซั่นนี้นี่เอง

    ถึงกระนั้น แม้ บียาร์เรอัล จะเน้นเกมรับที่รัดกุม แต่ในเมื่อพวกเขามีกุนซืออย่าง เอเมรี่ ก็เชื่อได้ว่าผลลัพธ์ของเกมจะมีการยิงประตูกันอย่างเป็นกอบเป็นกำแน่

    รวมแล้ว เอเมรี่ ผ่านการบู๊กับ ลิเวอร์พูล มาแล้วห้าครั้ง (หนึ่งครั้งกับ เซบีย่า และสี่ครั้งกับ อาร์เซน่อล) ซึ่งปรากฏว่าทั้งสองทีมสอยตาข่ายรวมกันอย่างมโหฬาร 26 ประตู (เฉลี่ยนัดละ 5.2 ประตู)

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ลิเวอร์พูล ก็ถูกยกให้เหนือกว่า บียาร์เรอัล อย่างขาดลอย และจาก 12 ทีมที่ผ่านเข้ารอบตัดเชือกรายการนี้ได้อย่างน้อยห้าครั้ง มีแค่ เบนฟิก้า (เจ็ดจากแปดครั้ง) และ มิลาน เท่านั้น (สิบจากสิบสองครั้ง) ที่มีเปอร์เซนต์ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สูงกว่า หงส์แดง (82%) ซึ่งได้เข้าชิง 9 ครั้งจากการผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก 11 ครั้ง



    ขณะเดียวกัน แม้ ลิเวอร์พูล จะมีตัวอันตรายในแดนหน้าที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น ดีโอโก้ โชต้า และ หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งระเบิดฟอร์มได้อย่างโดดเด่น แต่ยังไงซะ โม ซาลาห์ ก็ยังเป็นจอมล่าตาข่ายเบอร์หนึ่งของถิ่น แอนฟิลด์ อยู่นั่นเอง

    จวบจนถึงขณะนี้ มีแค่ซีซั่น 2017/18 เท่านั้น (10ประตู) ที่ ซาลาห์ สอยตาข่ายในถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซั่นเดียวได้มากกว่าซีซั่นนี้ซึ่งเขาตะบันไปแล้ว 8 ลูก รวมเป็น 33 ประตูซึ่งทำให้สตาร์ทีมชาติอียิปต์เป็นรองแค่ ดิดิเยร์ ดร็อกบา  (เชลซี) และ เซร์คิโอ อเกวโร่ (แมนฯ ซิตี้) แค่สามประตูเท่านั้นเนื่องจากอดีตสองหัวหอกคลำเป้าในถ้วยหูใหญ่ให้กับต้นสังกัดในอังกฤษได้ 36 ประตูเท่ากัน

    แต่ขณะเดียวกัน เอเมรี่ ก็มีสถิติในฟุตบอลยุโรปที่กองเชียร์ หงส์แดง ต้องชั่งใจเช่นกันต่อการวาดหวังว่าทีมรักจะเหมาแชมป์ได้ทั้งสี่รายการในซีซั่นนี้

    ครั้งเดียวที่ เอเมรี่ ได้บู๊กับ ลิเวอร์พูล ในถ้วยยุโรปเป็นนัดชิงชนะเลิศ ยูโรปาลีก ปี 2016 ซึ่ง เซบีย่า คว่ำ หงส์แดง ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ 3-1 และที่น่าเกรงขามมากไปกว่านั้นก็คือนับตั้งแต่ซีซั่น 2009/10 ซึ่งเป็นปีถือกำเนิดของถ้วย ยูโรปาลีก เอเมรี่ พาทีมผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ทั้งในถ้วย ยูโรปาลีก และ แชมเปี้ยนส์ลีก ได้มากถึง 31 จาก 37 ครั้งคิดได้เป็น 84%

    สำหรับตัวเลขนี้ทำให้ เอเมรี่ เป็นกุนซืออันดับสองของลิสต์ในแง่ของการคุมทีมลงเล่นถ้วยยุโรปอย่างน้อยสิบนัดโดยเป็นรองแค่ ซีเนดีน ซีดาน รายเดียวที่พาทีมเข้ารอบน็อคเอาท์ได้ 14 จาก 16 ครั้งคิดเป็น 88%

Similar topics (1)

SITEMAP : รีวิวคาสิโนออนไลน์ บทความน่าสนใจ | แนะนำเว็บคาสิโนที่น่าเล่นที่สุดสำหรับคุณ