(https://static.siamsport.co.th/news/2022/04/28/news202204281339491.jpg)
เรียกได้ว่าโอกาสเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล สดใสในระดับหนึ่งเลยทีเดียว หลังจากในรอบรองชนะเลิศ นัดแรก พวกเขาสามารถเอาชนะ บียาร์เรอัล ไปได้ก่อน 2-0 ที่ แอนฟิลด์ เมื่อวันพุธที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หนึ่งในประตูของ ลิเวอร์พูล เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เกิดจากผลงานของ ซาดิโอ มาเน่ จนทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นแข้งจากทวีปแอฟริกาที่ทำประตูในรอบน็อกเอาต์ของถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้มากที่สุด ที่จำนวน 14 ลูก เท่ากับที่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เคยทำเอาไว้ แต่มันก็ยังมีเกร็ดและสถิติที่น่าสนใจแบบอื่นๆ เช่นกัน ตามที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้
- ครั้งแรกของ ลิเวอร์พูล
จนถึงตอนนี้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนเอาชนะเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แล้วถึง 9 เกมจากการลงเล่นทั้งหมด 11 นัด แบ่งเป็นการชนะครบ 6 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม ตามด้วยในรอบ 16 ทีมสุดท้ทาย, รอบก่อนรองชนะเลิศ และรอบตัดเชือกอย่างละ 1 เกม
(https://static.siamsport.co.th/files/images/LVLL01.jpg)
จากเรื่องดังกล่าวทำให้นี่เป็นฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะได้มากที่สุดต่อการลงเล่นเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 ฤดูกาล ในกรณีที่ไม่นับรวมรอบคัดเลือก โดยอันดับ 2 ในชาร์ตนี้คือฤดูกาล 2018-19 ที่พวกเขาชนะได้ 8 เกมก่อนจะไปถึงตำแหน่งแชมป์ ขณะที่ในซีซั่น 2017-18 แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะชนะเกมถ้วยยุโรป 9 นัด แต่ตอนนั้นพวกเขาต้องลงเล่นรอบคัดเลือกด้วย
- ดูโอแอฟริกัน
จังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ผ่านบอลให้ มาเน่ ทำประตูที่ 2 ให้กับทีมเมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ถือเป็นการทำแอสซิสต์ครั้งแรกของดาวเตะชาวอียิปต์กับการลงเล่นเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ แต่ถ้านับรวมการเล่นเกมชิงถ้วย "บิ๊กเอียร์" แบบทุกซีซั่นแล้วล่ะก็ มันก็เท่ากับว่านี่เป็นครั้งที่ 7 เข้าไปแล้วที่การผนึกกำลังระหว่างทั้งคู่ (หมายถึงการที่ ซาลาห์ หรือ มาเน่ ผ่านบอลให้อีกคนทำประตูได้) ช่วยทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ประตูในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก
(https://static.siamsport.co.th/files/images/LVLL02.jpg)
ด้วยเหตุนี้ ดูโอ ซาลาห์-มาเน่ เลยกลายเป็นคู่หูที่มีส่วนกับการทำประตูร่วมกันมากที่สุดตลอดกาลในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นอันดับ 1 ร่วม หากนับเฉพาะทีมจากเกาะอังกฤษ โดยก่อนหน้านี้มีเพียงคู่หูของทีมจากเมืองผู้ดีแค่ 2 คู่ที่ผนึกกำลังกันทำได้ 7 ประตูในรายการนี้ นั่นคือ เวย์น รูนี่ย์-ไรอัน กิ๊กส์ ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และคู่ระหว่าง ซาลาห์-โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่
- คล็อปป์ เทียบเท่าเหล่าตำนาน
นี่นับเป็นครั้งที่ 4 เข้าไปแล้วที่ คล็อปป์ พาทีมที่ตัวเองกุมบังเหียนมาถึงรอบรองชนะเลิศของศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ ซึ่งจนถึงตอนนี้มันก็เท่ากับว่าเขาเก็บชัยชนะเวลาที่ทีมของตัวเองลงเล่นเกมเหย้าในรอบนี้ได้ครบทุกนัด
(https://static.siamsport.co.th/files/images/LVLL03.jpg)
ผลงานดังกล่าวทำให้ คล็อปป์ ทาบสถิติการเป็นกุนซือที่มีเปอร์เซ็นต์ชนะเกมเหย้าในรอบตัดเชือกของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ดีที่สุด โดยก่อนหน้าเขามีแค่ 2 คนเท่านั้นที่มีเปอร์เซ็นต์พาทีมของตัวเองชนะเกมเหย้าในรอบรองชนะเลิศของรายการนี้ได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม นั่นคือ มาร์เชลโล่ ลิปปี้ กับ อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ โดยทั้ง 2 คนนั้นก็เคยนำทีมมาถึงรอบนี้ 4 ครั้งเหมือนกัน
- ช่วงฮอตในบ้าน
นับตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ก่อน ลิเวอร์พูล ได้ลงเล่นใน แอนฟิลด์ ไป 3 นัดจากทุกรายการ ซึ่งหากนับรวมกันแล้วนั้นมันก็จะพบว่าพวกเขาสามารถทำได้ถึง 8 ประตู โดยที่ไม่เสียประตูเลยแม้แต่ลูกเดียวอีกต่างหาก ประกอบด้วยเกมลีกที่ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0, เกมลีกนัดทุบ เอฟเวอร์ตัน 2-0 และนัดล่าสุดกับ บียาร์เรอัล
(https://static.siamsport.co.th/files/images/LVLL04.jpg)
ส่วนหนึ่งทำให้เป็นอย่างนั้นก็เพราะทีมของ คล็อปป์ มีโอกาสยิงรวมกันต่อหน้าแฟนบอลใน แอนฟิลด์ มากถึง 51 เกมในช่วง 3 นัดที่ว่า ตรงกันข้ามกับเหล่าคู่แข่งที่มีโอกาสส่องแค่ 12 หน แถมในจำนวนนั้น ลิเวอร์พูล ยังยิงตรงกรอบได้ถึง 14 ครั้ง โดยปลอยให้อีกฝ่ายมีชอตยิงตรงกรอบแค่ 2 เกมด้วย
นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังผ่านบอลรวมแล้วถึง 2,421 ครั้ง ต่างกับ แมนฯ ยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน และ บียาร์เรอัล ที่ผ่านบอลรวมกันได้เพียง 799 หน โดยทีมของ คล็อปป์ ยังมีโอกาสได้จับบอลในกรอบเขตโทษของคู่แข่ง 119 หนด้วย ตรงกันข้ามกับ 3 ทีมคู่แข่งที่ได้จังหวะแบบนั้นแค่ 26 ครั้ง